10.Jonas

  1. อะลีฟ ลาม รอ เหล่านี้คือบรรดาโองการแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง
  2. เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือ ที่เราได้ให้วะฮียฺแก่ชายคนหนึ่งจากพวกเขา ให้เตือนสำทับมนุษย์ และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าแท้จริงสำหรับพวกเขานั้น จะได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง ณ ที่พระเจ้าของเขา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า แท้จริงนี่คือนักมายากลอย่างแน่นอน
  3. แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์ นั่นคืออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด พวกท่านมิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ
  4. ยังพระองค์เท่านั้นคือทางกลับของพวกท่านทั้งหลาย สัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นจริงเสมอ แท้จริงพระองค์นั้นทรงเริ่มการสร้าง แล้วพระองค์ก็ทรงให้มันบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดี โดยเที่ยงธรรม ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มที่ร้อนจัดและการลงโทษอันเจ็บแสบ เพราะพวกเขาปฏิเสธ ไม่ยอมศรัทธา
  5. พระองค์ทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้าและดวงจันทร์มีแสงนวล และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจร เพื่อพวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านนั้น เว้นแต่ด้วยความจริง พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่าง ๆ สำหรับหมู่ชนที่มีความรู้
  6. แท้จริงการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และที่อัลลอฮฺทรงสร้างในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอน เป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่มีความยำเกรง
  7. แท้จริงบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเรา และพวกเขาพอใจต่อชีวิตในโลกดุนยา และพวกเขาดีใจต่อมัน และบรรดาผู้ละเลยต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา
  8. ชนเหล่านั้น ที่พำนักของพวกเขาคือนรก เนื่องด้วยพวกเขาขวนขวายเอาไว้
  9. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดี พระเจ้าของพวกเขาจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา เนื่องด้วยการศรัทธาของพวกเขา ภายใต้พวกเขามีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านซึ่งอยู่ในสวนสวรรค์อันเกษมสำราญ
  10. การขอพรของพวกเขาในสวนสวรรค์คือ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน ข้าแต่พระเจ้าของเราและคำทักทายของพวกเขาในนั้นคือ ความสันติสุข (อัสสะลาม) และสุดท้ายแห่งการขอพรของพวกเขาคือ การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งสากลโลก
  11. และหากอัลลอฮฺทรงเร่งตอบรับความชั่วของมนุษย์ เช่นเดียวกับการเร่งของพวกเขาเพื่อขอความดีแล้ว แน่นอนความตายของพวกเขาก็คงถูกกำหนดแก่พวกเขา แล้วเราจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเราให้อยู่ในความงงงวย เพราะการดื้อดึงของพวกเขา
  12. และเมื่ออันตรายประสบกับมนุษย์ เขาก็จะวิงวอนขอเราในสภาพนอนตะแคง หรือนั่ง หรือยืน ครั้นเมื่อเราปลดเปลื้องอันตรายของเขาให้พ้นจากเขาไปแล้ว เขาก็เมินคล้ายกับว่าเขามิได้วิงวอนขอเราให้พ้นจากอันตรายที่ได้ประสบแก่เขาเช่นนั้นแหละ ถูกทำให้สวยงามแก่บรรดาผู้ละเมิดขอบเขตในสิ่งที่พวกเขากระทำ
  13. และโดยแน่นอน เราได้ทำลายประชาชาติจากศตวรรษก่อนจากพวกท่านไปแล้ว เมื่อพวกเขาเป็นผู้อธรรม และบรรดารอซูลของพวกเขาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง แล้วพวกเขาก็ไม่ศรัทธา เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนแก่หมู่ชนที่เป็นอาชญากร
  14. แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนในแผ่นดิน หลังจากพวกเขาเหล่านั้น เพื่อเราจะดูว่าพวกท่านจะปฏิบัติตนอย่างไร
  15. และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเรา ก็กล่าวว่า ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตามเว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริงฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
  16. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกท่าน และพระองค์จะไม่ให้พวกท่านได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอนฉันได้มีอายุอยู่ในหมู่พวกท่านมาก่อนนั้น พวกท่านไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ
  17. ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริงบรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
  18. และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นไปจากอัลลอฮฺ ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา และมิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺด้วยสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง เหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น
  19. และมนุษย์นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกัน แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน และหากมิใช่ลิขิตได้บันทึกไว้ที่พระเจ้าของพวกเจ้าแล้ว แน่นอนก็คงถูกตัดสินระหว่างพวกเขา ในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน
  20. และพวกเขากล่าวว่า ทำไมอภินิหารจากพระเจ้าของเขา จึงไม่ถูกประทานมาให้เขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงสิ่งเร้นลับนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พวกท่านจงคอยดูเถิด แท้จริงฉันนั้นอยู่กับพวกท่านในหมู่ผู้คอยดู
  21. และเมื่อเราให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาหลังจากภยันตรายได้ประสบแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็มีอุบายต่อโองการต่าง ๆ ของเรา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮฺทรงรวดเร็วยิ่งในการแก้อุบาย แท้จริงบรรดามลาอิกะฮฺของเราจะบันทึกสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอุบายอยู่
  22. พระองค์ผู้ทรงทำให้พวกท่านเดินทางโดยทางบกและทางทะเล จนกระทั่งเมื่อพวกท่านอยู่ในเรือและมันได้นำพวกเขาแล่นไปด้วยลมที่ดี และพวกเขาดีใจกับมัน ทันใดนั้นลมพายุได้พัดกระหน่ำและคลื่นก็ซัดเข้ามายังพวกเขาจากทุกด้าน และพวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขาถูกล้อมด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ว่า หากพระองค์ทรงให้เราพ้นจากภยันตรายนี้ โดยแน่นอนยิ่ง พวกเราจะอยู่ในหมู่ผู้กตัญญูทั้งหลาย
  23. ครั้นเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขารอดมาแล้วพวกเขาก็ทำความเสียหายในแผ่นดิน โดยปราศจากความเป็นธรรม โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงการทำความเสียหายของพวกเจ้านั้น มันเป็นอันตรายต่อตัวของพวกเจ้าเอง เป็นความเพลิดเพลินของชีวิตในโลกนี้เท่านั้น แล้วในที่สุดพวกเจ้าก็จะกลับไปหาเรา แล้วเราจะแจ้งข่าวให้พวกเจ้าทราบถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
  24. แท้จริง อุปมาชีวิตในโลกนี้ ดั่งน้ำฝนที่เราได้หลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า พืชของแผ่นดินได้คละเคล้ากับน้ำนั้น บางส่วนของมันมนุษย์และปศุสัตว์ใช้กินเป็นอาหาร จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินได้เริ่มปรากฏความงดงามของมัน และถูกประดับด้วยพืชผลอย่างสวยงาม เจ้าของของมันก็คิดว่าแท้จริงพวกเขามีอำนาจเหนือมัน คำบัญชาของเราได้มายังมันในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวันแล้วเราได้ทำให้มันถูกเก็บเกี่ยวเสมือนกับว่าไม่มีการหว่านมาแต่วันวาน เช่นนั้นแหละ เราได้จำแนกโองการต่าง ๆ แก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
  25. และอัลลอฮฺทรงเรียกร้องไปสู่สถานที่แห่งศานติ และทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางที่เที่ยงธรรม
  26. สำหรับบรรดาผู้กระทำความดี จะได้รับความดี และได้เพิ่มขึ้นอีก ความหมองคล้ำและความต่ำต้อยจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
  27. และบรรดาผู้ขวนขวายทำความชั่ว การตอบแทนความชั่วด้วยความชั่วเช่นเดียวกัน ความต่ำต้อยจะปกคลุมพวกเขา ไม่มีผู้คุ้มกันพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮฺได้ เสมือนว่าใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมไว้ด้วยส่วนหนึ่งของกลางคืนอันมืดทึบ ชนเหล่านี้คือชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
  28. และวันที่เราชุมนุมพวกเขาทั้งหมด แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า จงอยู่ ณ สถานที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าและบรรดาภาคีของพวกเจ้า แล้วเราได้แยกพวกเขาออกจากกัน และบรรดาภาคีของพวกเขากล่าวว่า ไม่ควรเลยที่พวกท่านจะเคารพสักการะต่อเรา
  29. ดังนั้น จึงพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน แน่นอนเรา (บรรดาภาคี) ไม่รู้เลยในการเคารพสักการะของพวกท่านต่อเรา
  30. ขณะนั้นทุกชีวิตจะถูกสอบถึงสิ่งที่กระทำไว้ก่อน และพวกเขาจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺพระเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมาจะหนีไปจากพวกเขา
  31. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมองและใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตาย และเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า อัลลอฮฺ ดังนั้นจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านไม่ยำเกรงหรือ
  32. นั่นแหละอัลลอฮฺ พระเจ้าที่แท้จริงของพวกท่าน ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น แล้วทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกให้หันเหออกไปอีก
  33. เช่นนั้นแหละ ลิขิตของพระเจ้าของเจ้าย่อมเป็นจริงแก่บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนว่า แน่แท้พวกเขาจะไม่ศรัทธา
  34. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่าน ที่เป็นผู้เริ่มแรกในการให้บังเกิดแล้วให้มันบังเกิดอีก จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮฺทรงเริ่มแรกในการให้บังเกิด แล้วทรงให้มันบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นทำไมพวกท่านจึงหันเหออกจากความจริงไป (สู่ความเท็จ) เล่า
  35. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่าน เป็นผู้ชี้แนะทางสู่สัจธรรม จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮฺทรงชี้แนะทางสู่สัจธรรม ดังนั้นผู้ที่ชี้แนะทางสู่สัจธรรมสมควรกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติตาม (อิบาดะฮฺ) หรือว่าผู้ที่ไม่อาจจะชี้แนะผู้อื่นได้ เว้นแต่จะถูกชี้แนะ ทำไมพวกท่านจึงตัดสินใจเช่นนั้น
  36. และส่วนใหญ่ของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการนึกคิด แท้จริงการนึกคิดนั้นไม่อาจจะแทนความจริงได้แต่อย่างใด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
  37. และอัลกุรอานนี้มิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนก ข้อบัญญัติต่าง ๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้น ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
  38. หรือพวกเขากล่าวว่า เขา (มุฮัมมัด) เป็นผู้ปั้นแต่งขึ้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกร้องผู้ที่พวกท่านสามารถนำมาได้นอกจากอัลลอฮฺ หากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง
  39. แต่ว่าพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้มาก่อน และสัญญาร้ายยังมิได้มายังพวกเขา เช่นนั้นแหละ บรรดาชนรุ่นก่อนจากพวกเขาได้ปฏิเสธมาแล้ว ดังนั้น เจ้าจงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของพวกอธรรมนั้นเป็นอย่างไร
  40. และในหมู่พวกเขามีผู้ศรัทธาในอัลกุรอาน และในหมู่พวกเขามีผู้ไม่ศรัทธา และพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่ง ต่อบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย
  41. และถ้าพวกเขาปฏิเสธ (ไม่ยอมศรัทธา) เจ้าจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) การงานของฉันก็เป็นของฉัน และการงานของพวกท่านก็เป็นของพวกท่าน พวกท่านจงปลีกตัวออกจากสิ่งที่ฉันกระทำ และฉันก็จะปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านกระทำ
  42. และในหมู่พวกเขามีผู้ฟัง (การอ่านอัลกุรอาน) ของเจ้า เจ้าจะให้คนหูหนวกได้ยินกระนั้นหรือ และถึงแม้พวกเขาหูหนวก แต่ก็ไม่ใช้ปัญญา
  43. และในหมู่พวกเขามีผู้มองไปยังเจ้า เจ้าจะชี้แนะทางให้คนตาบอดกระนั้นหรือ และถึงแม้พวกเขาตาบอดแต่ก็ไม่มีสายตาที่จะมองดู
  44. แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง
  45. และวันที่พระองค์ทรงชุมนุมพวกเขาประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่นาน(ในโลกนี้) เว้นแต่เพียงชั่วครู่เดียวในเวลากลางวัน พวกเขาทักทายซึ่งกันและกัน แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮฺย่อมขาดทุน และพวกเขามิได้เป็นผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
  46. และบางคนที่เราจะให้เจ้าได้เห็นบางส่วน (ของการลงโทษ) ซึ่งเราสัญญาแก่พวกเขา หรือเราจะให้เจ้าตายเสียก่อน ดังนั้น ทางกลับของพวกเขาย่อมไปหาเรา แล้วอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ
  47. และทุกประชาชาติมีรอซูลถูกส่งมา ดังนั้นเมื่อรอซูลของพวกเขาได้มาแล้ว กิจการระหว่างพวกเขาก็ถูกตัดสินโดยเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
  48. และพวกเขาจะกล่าวว่า เมื่อใดเล่าสัญญานี้ (จะปรากฏ) หากพวกท่านสัจจริง
  49. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่ตัวฉัน เว้นแต่ที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ สำหรับทุกประชาชาติย่อมมีเวลากำหนด เมื่อเวลาของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าสักระยะหนึ่งไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็มิได้
  50. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ หากการลงโทษของพระองค์ประสบแก่พวกท่านในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน ทำไมพวกอาชญากรเหล่านั้นจึงขอร่นเวลา
  51. ครั้นเมื่อมันเกิดขึ้น พวกท่านก็ศรัทธาต่อพระองค์กระนั้นหรือ ขณะนี้ (พวกท่านศรัทธา) ก่อนหน้านั้นพวกท่าน (เยาะเย้ย) ขอร่นเวลา
  52. แล้วมีเสียงกล่าวแก่พวกอธรรมว่า พวกท่านจงลิ้มรสการลงโทษอันจีรังเถิด พวกท่านจะไม่ถูกตอบแทน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านขวนขวายไว้เท่านั้น
  53. และพวกเขาจะสอบถามเจ้าว่า (การลงโทษ) จะเกิดขึ้นจริงหรือ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แน่นอนทีเดียว ขอสาบานต่อพระเจ้าของฉัน แท้จริงมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และพวกท่านไม่สามารถจะรอดไปได้
  54. หากทุกชีวิตที่อธรรม (ครอบครองคลังสมบัติ) ที่อยู่ในแผ่นดิน มันก็จะยอมไถ่ตน และพวกเขาก็จะซ่อนความเสียใจเมื่อได้เห็นการลงโทษและจะถูกตัดสินระหว่างพวกเขาอย่างเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแต่อย่างใด
  55. พึงทราบเถิด แท้จริงในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พึงทราบเถิด แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่รู้
  56. พระองค์ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย และยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป
  57. โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านแล้ว และ (มัน) เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา
  58. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวนั้น พวกเขาจงดีใจเถิด ซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมไว้
  59. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือซึ่งเครื่องยังชีพที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็ทำให้บางส่วนเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) และบางส่วนเป็นที่อนุมัติ (หะลาล) จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮฺทรงอนุมัติให้แก่พวกท่าน หรือพวกท่านปั้นแต่งให้แก่อัลลอฮฺ
  60. และบรรดาผู้ที่ปั้นแต่งความเท็จให้แก่อัลลอฮฺจะนึกคิดอย่างไรในวันกิยามะฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้มีบุญคุณต่อมนุษย์ แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ขอบคุณ
  61. และเจ้ามิได้อยู่ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด และเจ้ามิได้อ่านบางส่วนจากมันในอัลกุรอาน และพวกท่านมิได้กระทำการใดๆ เว้นแต่เราได้เป็นพยานแก่พวกท่านในขณะที่พวกท่านกำลังง่วนอยู่ในเรื่องนั้น และจะไม่รอดพ้นจากพระเจ้าของเจ้า (การกระทำใดๆ) ที่มีน้ำหนักเท่าธุลีทั้งในแผ่นดินและในชั้นฟ้า และที่เล็กกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น เว้นแต่อยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น
  62. พึงทราบเถิด แท้จริงบรรดาคนที่อัลลอฮฺรักนั้น ไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจ
  63. คือบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขามีความยำเกรง
  64. สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดี ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และในโลกหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในลิขิตของอัลลอฮฺ นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
  65. และคำพูดของพวกเขาจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ แท้จริงอำนาจทั้งมวลนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
  66. พึงทราบเถิด แท้จริงทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและทุกสิ่งในแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้วิงวอนขอสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺนั้นจะไม่ปฏิบัติตามภาคีเหล่านั้น พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่การคาดคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด นอกจากคาดคะเนขึ้น
  67. พระองค์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนให้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อนในมัน และกลางวันเพื่อจะได้มองเห็น แท้จริงในการนั้นแน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนที่ได้ยินเพื่อใคร่ครวญ
  68. พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งพระบุตร มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน พระองค์ทรงพอเพียงจากสิ่งใด ๆ ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและที่อยู่ในแผ่นดินเป็นของพระองค์ พวกท่านไม่มีหลักฐานใด ๆ ในการกล่าวเช่นนี้ พวกท่านจะกล่าวร้ายต่ออัลลอฮฺในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้กระนั้นหรือ
  69. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จดอก
  70. ความเพลิดเพลินในโลกนี้ แล้วพวกเขาก็กลับคืนมาสู่เรา แล้วเราจะให้พวกเขาลิ้มรสการลงโทษอย่างหนักเพราะเหตุที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา
  71. และเจ้าจงอ่านให้พวกเขาฟังถึงเรื่องราวของนบีนูหฺ เมื่อเขา (นูหฺ) กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้หมู่ชนของฉัน หากว่าการพักอยู่ของฉันและการตักเตือนของฉันด้วยโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺเป็นเรื่องใหญ่แก่พวกท่านแล้ว ดังนั้นฉันขอมอบหมายแด่อัลลอฮฺเท่านั้น พวกท่านจงร่วมกันวางแผนของพวกท่าน พร้อมกับบรรดาภาคีของพวกท่านเถิด แล้วอย่าให้แผนของพวกท่านเป็นที่ปิดบังแก่พวกท่าน แล้วจงดำเนินการต่อฉันทันทีและอย่าได้ลังเลเลย
  72. หากพวกท่านผินหลังให้ ฉันมิได้ขอค่าตอบแทนใด ๆ จากพวกท่าน แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮฺ และฉันถูกใช้ให้อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม
  73. แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธเขา (นูหฺ) เราได้ช่วยให้เขาและผู้อยู่กับเขารอดพ้นไว้ในเรือ และเราได้ให้พวกเขาเป็นตัวแทน (ในเวลาต่อมา) และเราได้ให้บรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราจมน้ำ ดังนั้นเจ้าจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของพวกที่ถูกเตือนนั้นเป็นอย่างไร
  74. หลังจากเขา (นูหฺ) แล้ว เราได้ส่งบรรดารอซูลไปยังประชาชาติของพวกเขา แล้วบรรดารอซูลเหล่านั้นได้นำหลักฐานอย่างชัดแจ้งมายังพวกเขา แต่พวกเขามิได้ศรัทธาในสิ่งที่พวกเขาได้เคยปฏิเสธต่อนูหฺมาก่อนแล้ว เช่นนั้นแหละ เราได้ประทับตราบนหัวใจของบรรดาผู้ฝ่าฝืนเหล่านั้น
  75. หลังจากพวกเหล่านั้นแล้ว เราได้ส่งมูซาและฮารูนไปยังฟิรเอานฺและบรรดาผู้นำของเขาด้วยสัญญาณทั้งหลายของเรา พวกเขาก็เย่อหยิ่ง โอหัง โดยพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีความผิด
  76. ครั้นเมื่อความจริงจากเราได้มายังพวกเขาแล้ว พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงนี่คือวิทยากลอันชัดแจ้ง
  77. มูซาได้กล่าวว่า พวกท่านกล่าวร้ายต่อความจริงเมื่อมันได้มายังพวกท่านเช่นนั้นหรือ นี่หรือวิทยากล และนักวิทยากลนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จดอก
  78. พวกเขากล่าวว่า ท่านมาหาเราเพื่อที่จะหันเหเราออกจากสิ่งที่เราได้พบเห็น (ศาสนา) ของบรรพบุรุษของเรา และเพื่อที่ความยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจะได้เป็นของท่านทั้งสองกระนั้นหรือ และเราจะไม่ศรัทธาต่อท่านทั้งสองเป็นแน่
  79. และฟิรเอานฺได้กล่าวว่า พวกท่านจงนำมาให้ฉัน นักวิทยากลผู้เชี่ยวชาญทุกคน
  80. เมื่อนักวิทยากลมาแล้ว มูซาได้กล่าวกับพวกเขาว่า พวกท่านจงโยนสิ่งที่พวกท่านนำมาเพื่อจะโยนเถิด
  81. เมื่อพวกเขาได้โยนไปแล้ว มูซาได้กล่าวว่า สิ่งที่พวกท่านนำมานั้นคือวิทยากล แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงทำลายมัน แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงทำให้การงานของบรรดาผู้บ่อนทำลายดีขึ้น
  82. และอัลลอฮฺจะทรงให้สัจธรรมยืนหยัดอยู่ด้วยคำกล่าวของพระองค์ และแม้ว่าบรรดาคนชั่วจะเกลียดชังก็ตาม
  83. ไม่มีใครศรัทธาต่อมูซานอกจากลูกหลานบางคนจากกลุ่มชนของเขา (บะนีอิสรออีล) เนื่องจากความกลัวต่อฟิรเอานฺ และหัวหน้าของพวกเขาจะทำความวุ่นวายแก่พวกเขา และแท้จริงฟิรเอานฺนั้นเป็นผู้หยิ่งผยองในแผ่นดิน และแท้จริงเขาอยู่ในหมู่ผู้ละเมิด
  84. และมูซากล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน หากพวกท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พวกท่านก็จงมอบหมายต่อพระองค์ หากพวกท่านเป็นผู้ยอมจำนน
  85. พวกเขากล่าวว่า แด่อัลลอฮฺเราขอมอบหมาย ข้าแต่พระเจ้าของเรา ได้ทรงโปรดอย่าให้เราเป็นเครื่องทดลองสำหรับหมู่ชนผู้อธรรมเลย
  86. และได้ทรงโปรดช่วยเราให้พ้นจากหมู่ชนผู้ปฏิเสธศรัทธา ด้วยพระเมตตาของพระองค์ด้วยเถิด
  87. และเราได้วะฮียฺมายังมูซาและพี่ชายของเขา (ฮารูน) ให้จัดสร้างบ้านให้แก่กลุ่มชนของเจ้าทั้งสองในอียิปต์ และจงทำบ้านของพวกท่านเป็นกิบละฮฺ และจงดำรงการละหมาด และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา
  88. และมูซาได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์ทรงประทานความสำราญและทรัพย์สิน แก่ฟิรเอานฺและหัวหน้าของเขา ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ข้าแต่พระเจ้าของเรา โดยพวกเขาจะทำให้ (กลุ่มชน) หลงจากแนวทางของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงทำลายทรัพย์สินของพวกเขา และทรงโปรดทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง เพื่อมิให้พวกเขาศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด
  89. พระองค์ตรัสว่า การวิงวอนของเจ้าทั้งสองถูกรับแล้ว เจ้าทั้งสองจงดำเนินตามแนวทางที่เที่ยงธรรม และอย่าปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาผู้ไม่รู้
  90. และเราได้ให้บนีอิสรออีลข้ามทะเลพ้นไป ดังนั้นฟิรเอานฺและพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขา (บะนีอิสรออีล) ไป โดยอธรรม และเป็นศัตรู จนกระทั่งเมื่อการจมน้ำมาถึงเขาแล้ว เขากล่าวว่า ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากผู้ซึ่งบะนีอิสรออีลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือคนหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม
  91. บัดนี้ และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย
  92. ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา
  93. และโดยแน่นอน เราได้ให้บะนีอิสรออีลพำนักอาศัยอยู่ ณ สถานที่อันดี และเราได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีมากมายแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขามิได้แตกแยกกันจนกระทั่งคัมภีร์ได้มายังพวกเขา แท้จริงพระเจ้าของเจ้าจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮฺ ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน
  94. หากเจ้าอยู่ในการสงสัย ในสิ่งที่เราได้ให้แก่เจ้า ก็จงถามบรรดาผู้อ่านคัมภีร์ก่อนเจ้า (เตารอต) โดยแน่นอน สัจธรรมได้มายังเจ้าจากพระเจ้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัย
  95. และเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺ ดังนั้นเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
  96. แท้จริง บรรดาผู้ที่พระดำรัส (การลงโทษ) ของพระเจ้าของเจ้าได้บัญญัติแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ศรัทธา
  97. และแม้ว่าทุกสัญญาณได้มายังพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะแลเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด
  98. ดังนั้น ทำไมจึงไม่มีหมู่บ้านสักแห่งหนึ่งศรัทธาโดยที่การศรัทธาของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์แก่พวกเขา นอกจากกลุ่มชนของยูนุสเมื่อพวกเขาศรัทธา เราได้ปลดเปลื้องการลงโทษอันอัปยศจากพวกเขา ในการมีชีวิตในโลกนี้ และเราได้ยืดเวลาระยะหนึ่งแก่พวกเขา
  99. และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอน ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ
  100. และมิเคยปรากฏว่าชีวิตใดจะศรัทธา เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และพระองค์จะทรงลงโทษแก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา
  101. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงดูว่ามีอะไรในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสัญญาณทั้งหลายและการตักเตือนทั้งหลายจะไม่อำนวยผลแก่กลุ่มชนที่ไม่ศรัทธา
  102. พวกเขาจะไม่คอยดูสิ่งใด นอกจากการคอยดูเยี่ยงวันทั้งหลายของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงคอยดูเถิด แท้จริงฉันจะเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้คอยดู
  103. แล้วเราจะช่วยบรรดารอซูลของเราและบรรดาผู้ศรัทธาให้รอดพ้น เช่นนั้นแหละเป็นหน้าที่เราที่เราจะช่วยบรรดามุอมินให้รอดพ้น
  104. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) โอ้มนุษย์เอ๋ย หากพวกท่านสงสัยในศาสนาของฉัน ดังนั้นฉันจะไม่เคารพภักดีอื่นจากอัลลอฮฺ แต่ฉันจะเคารพภักดีอัลลอฮฺผู้ทรงทำให้พวกท่านตาย และฉันได้รับบัญชาให้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา
  105. และว่า จงมุ่งหน้าของเจ้าเพื่อศาสนาอย่างเที่ยงตรง และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี
  106. และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เจ้า และไม่ให้โทษแก่เจ้า หากเจ้ากระทำเช่นนั้น แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม
  107. และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัย ประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ปลดเปลื้องมันได้นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
  108. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) โอ้มนุษย์เอ๋ย แน่นอนสัจธรรม จากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง แท้จริงเขาดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องเพื่อตัวของเขา และผู้ใดหลงทาง แท้จริงเขาก็หลงทางเพื่อตัวของเขา และฉันไม่ได้เป็นผู้คุ้มกันพวกท่าน
  109. และเจ้าจงปฏิบัติตามที่ถูกวะฮียฺแก่เจ้าและจงอดทน จนกว่าอัลลอฮฺจะทรงตัดสิน และพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินที่ดียิ่ง